U-Dom Student Services

แนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศ ให้คำปรึกษาเรื่องวีซ่า จองตั๋วเครื่องบิน จัดหาที่พัก

Photos

This slideshow requires JavaScript.

 

 

U-Talk

 

ความในใจจากน้องแนน…ม.มหิดล อินเตอร์

ก่อนอื่น…แนนขอ เปิดกรุความเป็นมาของตัวเองก่อนละกัน ว่าจากเด็กอยุธยาคนนึง มาอยู่ที่ลอนดอน มีการมีงานทำได้ยังงัยจนถึงบัดนี้ เรื่องเริ่มต้นจากที่ว่า ตัวเองเนี่ยนิสัยเป็นคนที่ชอบพบปะผู้คนและชอบเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าใครจะให้ไปไหน ก็ไปหมด เพราะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ น่าท้าทาย และ โอกาสดีๆก็ไม่ได้เข้ามาบ่อยๆ การเดินทางสู่ต่างประเทศด้วยตัวเองครั้งแรก ก็เป็นที่ประเทศออสเตรเลีย ตอนนั้นอายุ 15 ขวบได้ซึ่งเราได้สมัครโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เมือง Melbourne ตอนนั้นจำได้ว่า ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง แต่ก็ไม่มีความกลัว เพราะมีเพื่อนๆคนไทยไปกันหลายคน การไปครั้งนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นว่า เราเนี่ยจะต้องไปหาประสบการณ์ที่ประเทศอื่นๆ อีก เพราะมันเป็นอะไรที่สนุก ได้รู้จักคนเยอะ และสอนให้เราทำอะไรด้วยตัวเอง เมื่อเกิดปัญหา เราต้องตัดสินใจเอง ไม่มีพ่อแม่พี่น้องที่จะคอยมารับฟังและแก้ปัญหาให้เราได้ ประสบการณ์ครั้งนั้นที่จำได้แม่นคือ เราจะต้องแสดงการรำไทย และเป่าขลุ่ย ซึ่งแม่ก็เตรียมชุดไทยไปให้อย่างดี พร้อมเข็มขัดทอง (ปลอม) แล้วก็เตรียมซ้อมรำไปอย่างดี ปรากฏว่า เมื่อถึงวันแสดง อ้าว ชุดเราไปไหนเนี่่่ย แล้วก็นึกได้ว่า เราต้องลืมไว้บนรถไฟแน่ๆ แล้วจะทำยังงัยล่ะทีนี้ ชุดไม่มีแล้วจะใส่อะไรรำ หลังจากที่บอกเพื่อนๆ แต่ละคนก็เริ่มบริจาคของที่เค้าเตรียมมาเผื่อ คนนึงให้ผ้าถุง อีกคนให้สไบ อีกคนให้เครื่องประดับ ขาดเข็มขัด เอ้า ใช้เชือกรัดเอาละกัน สรุป ใส่ออกมาก็เป็นลิเกมาเลย แต่ก็ดีกว่าไม่มีชุดใส่ใช่มั้ยล่ะ แต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้สวยเพราะความช่วยเหลือของเพื่อนๆที่ไม่เคยรู้จักเลย ด้วยซ้ำ เนี่ยแหละสิ่งที่เราเรียนรู้จากการไปเยื่อนออสเตรเลียครั้งนั้น

ผ่่านไป 2 ปี เราก็เริ่มอยู่ไม่สุขอีกแล้ว ใจมันอยากออกนอกประเทศให้ได้ ในเมื่อโอกาสมา ตอนอยู่ ม. 6 ก็เลยไปสอบเพื่อเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาอีก 1 ปี ตอนนั้นใจก็ตุ้มๆต่อมๆ เพราะว่าครั้งนี้ไปนานและฉายเดี่ยว ไม่มีเพื่อนคนไทยเดินทางไปกับเราแล้ว ภาษาอังกฤษก็งั้นๆ ในใจก็คิดว่าจะรอดมั้ยเนี่ยเรา แต่ขอบอกว่า 1 ปีนั้น ถึงภาษาจะไม่ได้กลับมาเต็มร้อยอย่างที่หวังไว้ แต่ได้ประสบการณ์มาเพียบ เรื่องร้องไห้เนี่ย ไม่ต้องพูดถึง เพราะว่าร้องไห้บ่อยมาก จำได้ว่าเวลาที่ท้อๆ จะชอบเข้าไปร้องไห้ในตู้เสื้อผ้าเพราะมันเก็บเสียงดี แต่ถ้าพูดถึงช่วงเวลาที่มีความสุข มันก็เยอะ ได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนึ้นๆต่างชาติ และร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียน ได้เจอคนหลายๆประเภทที่เราคิดว่า คนอย่างนี้มีอยู่่ในโลกด้วยหรอ ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีเลยทีเดียว จากเด็กบ้านนอกที่มองโลกว่าสวยงาม และคิดในแง่ดีตลอด ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นคนที่มองสองแง่ ทั้งดีและร้าย เพื่อเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้น มีเหตุการณ์สองอย่างที่จำได้อย่างแม่นยำและไม่เคยลืมระหว่างที่อยู่อเมริกา เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นหลังจากที่บินไปได้แค่อาทิตย์เดียว นั่นก็คือ ตอนที่ world trade centre ถูกชนด้วยเครื่องบินก่อการร้าย จำได้ว่าวันนั้นตอนเช้าเมื่อเข้าไปในห้องเรียน ทุกคนกำลังดูข่าวกันแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Oh my God บางคนถึงกับร้องไห้เลยที่เดียว แล้วหลังจากนั้นสองวัน ก็มีการขู่วางระเบิดที่โรงเรียน ซึ่งนักเรียนทุกคนก็ถูกขนย้ายไปที่โบสถ์ ใครจะคิดว่าเหตุการณ์ร้ายๆอย่างจะเกิดขึ้นช่วงที่เราไปพอดี อีกเหตุกาณ์นึงถึงขั้นชีวิตของคนที่เราเรียกว่า Host Dad เค้าเป็นคนที่นิสัยดีมาก แต่เค้าต้องเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุระหว่างที่ขับรถไปรับเราที่ท่ารถ เรียกว่าเป็นเหตุการณ์ที่ลืมไม่ลงเลยจริงๆ ถือได้ว่าการไปอเมริกาครั้งนั้นทำให้เรามีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลย ทีเดียว

มาเข้าเรื่องกัน ที่ลอนดอนบ้าง หลังจากที่จบปริญญาตรีที่มหาลัยมหิดลนานาชาติ เราก็เริ่มคิดอีกแล้วว่าเราจะไปเรียนต่อโทที่ไหนดี อาจารย์ส่วนใหญ่ก็แนะนำว่าให้มาเรียนประเทศอังกฤษสิ เพราะว่าอาจารย์หลายคนที่มหิดลก็มาเรียนที่นี่ เราก็หาข้อมูลจากที่ต่างๆ สรุปก็ตัดสินใจได้ว่า มาเรียนภาษาก่อนปีนึงละกัน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเรียนต่อที่นี่หรือไม่ เราก็ได้คำแนะนำจากพี่จัน จาก บริษัท U-dom Student Services พี่เค้าก็ดำเนินการทุกอย่างจนทำให้เรามาเรียนภาษาที่นี่ มาถึงลอนดอนอาทิตย์แรก เราก็เริ่มหางานเลย สมัคร สมัคร สมัคร มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ แต่ถามว่ายากมั้ย มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถทางด้านภาษาและโชคของเรา สำหรับเราโชคดี เพราะร้านแรกที่ไปสมัครใกล้ๆบ้านก็ขาดคนพอดี ก็เริ่มงานอาทิตย์นั้นเลย ก็เรียนตั้งแต่ 9 โมงถึงบ่าย แล้วเริ่มทำงานตอน 5 โมงเย็นถึง 5 ทุ่ม งานก็ไม่หนักมากแถมได้ข้าวฟรีอีก ตอนนั้นก็ถือว่าเป็นเงินก้อนแรกที่ทำได้ ดีใจมาก แต่เราก็สมัครร้านอื่นไปเรื่อยๆ เผื่อว่าจะได้รร้านที่ให้เงินดีกว่า ก็มาเจออีกร้านนึง เป็นร้านใหญ่กว่า ให้เงินดีกว่า ก็เลยตัดสินใจออกจากร้านเก่า หลังจากที่ทำได้แค่สองอาทิตย์ ทำไปทำมาก็เริ่มคิดว่า เรายังว่างช่วงบ่าย น่าจะลองหาอะไรทำดู ก็เลยไปสมัครร้านอาหารฝรั่งเพื่อทำช่วงบ่าย ปรากฏว่าได้ ตอนนี้ก็ยุ่งเลย วันนึงๆ ไม่มีเวลาพักเลย แล้วทำเจ็ดวันด้วย เหนื่อยมากๆ ทำไปได้สามเดือนก็ถึงจุดอิ่มตัว ก็เลยลาออกจากงานกลางวัน อย่างไรก็ตามการเรียนมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ เพราะมันสำคัญมากเวลาต่อวีซ่า หลังจากเรียนภาษาจบ ก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะต้องเรียนต่อโท ระหว่างนั้นก็ได้มีคนแนะนำให้ไปทำบริษัททำบัญชี ซึ่งเราก็ไม่มีพื้นฐาน แต่เวลาไปสัมภาษณ์ เราสามารถทำให้เค้าเห็นว่าเราทำได้ ก็เลยได้งาน ซึ่งตอนนี้ชีวิตเราก็จะเปลี่ยนไป เพราะเราได้รู้จักสังคมที่กว้างขึ้น ได้พูดภาษามากขึ้นและได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่เราไม่เคยคิดเลยว่าโอกาสนี้มัน จะมาถึง ดังนั้นก็อยากบอกเพื่อนๆที่อยู่ในลอนดอนว่า ไม่มีอะไรที่ยากจนเกินไป แต่ขอให้มีจุดมุ่งหมาย ว่าเรามาประเทศนี้เพื่ออะไร แล้วพยายามทำให้สำเร็จ อย่าทำให้สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีชักจูงเราไปในทางที่ไม่ดี เพราะจริงๆแล้วประเทศนี้ให้โอกาสที่ดีอะไรหลายๆอย่าง เพียงแต่เราทำทุกอย่างให้เป็นไปอย่างถูกกฏหมาย ก็สามารถอยู่ประเทศนี้ได้อย่างมีความสุขแล้วล่ะค่ะ

หากเพื่อนๆ อยากคุยกับแนน อยากรู้จักแนนมากขึ้น ตอนนี้แนนก็จะหาอะไรทำเป็นค่าขนมเล็กๆ  สำหรับบริการเพื่อนๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์อาศัยอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะมหานครลอนดอนแห่งนี้  เพื่อนๆ สามารถเข้าไปหารายละเอียดว่าแนนทำอะไรได้บ้าง http://thai2london.wordpress.com/ สุดท้ายนี้ขอให้กำลังใจให้กับเพื่อนๆทุกคนที่กำลังจะเดินทางมาหรือเพื่อนๆที่อยู่ลอนดอนแล้วก็ตามนะค่ะ  See you in London

ใส่ความเห็น